นักวิจัยคณะวิทยาศาสตร์ ม.อ. ค้นพบแมลงหางดีดถ้ำและแมงกุ้งถ้ำชนิดใหม่ของโลก
ค้นพบแมลงหางดีดถ้ำชนิดใหม่ของโลกจำนวน 2 สกุล รวม 4 ชนิด และแมงกุ้งถ้ำชนิดใหม่ในสกุล Theosbaena เพิ่มเติมอีก 1 ชนิด
สถานวิจัยความเป็นเลิศความหลากหลายทางชีวภาพแห่งคาบสมุทรไทย คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ นำโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.โสภาค จันทฤทธิ์ พร้อมนักศึกษา และ Dr. Louis Deharveng จากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ร่วมกันค้นพบแมลงหางดีดถ้ำชนิดใหม่ของโลกจำนวน 2 สกุล รวม 4 ชนิด ซึ่งแมลงหางดีดถ้ำทั้ง 4 ชนิดนี้ จัดเป็นกลุ่มแมลงถ้ำที่มีความจำเพาะกับถิ่นอาศัย (endemic) โดยเจอเฉพาะในถ้ำของภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น คือ แมลงหางดีดในสกุล Alloscopus จำนวน 2 ชนิด ได้แก่
- แมลงหางดีดถ้ำชนิด Alloscopus namtip Jantarit & Sangsiri, 2020 โดยแมลงหางดีดชนิดนี้ ตั้งชื่อให้เกียรติ ตามสถานที่ที่พบ คือ ถ้ำน้ำทิพย์ จังหวัดสุราษฏ์ธานี
- แมลงหางดีดถ้ำชนิด Alloscopus whitteni Jantarit & Sangsiri, 2020 โดยแมลงหางดีดชนิดนี้ ถูกค้นพบจากถ้ำตาปาน จังหวัดพังงา และตั้งชื่อให้เกียรติ แก่ Anthony John Whitten นักธรรมชาติวิทยาและเป็นนักอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่สำคัญในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะกลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศเทือกเขาหินปูนและถ้ำ (Karst and cave)
สกุล Alloscopus 2 ชนิด
โดยลักษณะเด่นของแมลงหางดีดในสกุลนี้ คือ หนวดปล้องที่ 1 แบ่งเป็น 2 ปล้องย่อย ขณะที่หนวดปล้องที่ 4 แบ่งเป็นปล้องย่อยๆ จำนวนมาก ลำตัวยาวเรียว ปลายหางมีลักษณะงอ อาจมีหรือไม่มีเม็ดสีก็ได้ การศึกษาในครั้งนี้ได้ทำงานร่วมกับ นายธาวิน สังข์ศิริ นักศึกษาจากภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ และได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Raffles Bulletin of Zoology (35: 48–60 ปี 2020) ทำให้ปัจจุบัน มีแมลงหางดีดในสกุล Alloscopus ทั่วโลก 12 ชนิด โดยมีรายงานการค้นพบในประเทศไทยแล้วอย่างน้อย 4 ชนิด
นอกจากนี้ ยังได้มีการค้นพบแมลงหางดีดถ้ำชนิดใหม่ในสกุล Troglopedetes (หรือแมลงหางดีดหางหนามเหนือ) เพิ่มเติมอีก 2 ชนิด โดยร่วมศึกษากับ นางสาวแคทลียา สุระคำแหง และ Dr. Louis Deharveng จากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ได้แก่
- แมลงหางดีดหางหนามเหนือถ้ำ ชนิด Troglopedetes meridionalis Jantarit, Surakhamhaeng & Deharveng, 2020 ตั้งชื่อแมลงหางดีดชนิดนี้เป็นภาษาลาติน โดย meridionalis แปลว่า ภาคใต้/ตอนใต้ หมายถึงเป็นแมลงหางดีดสกุล Troglopedetes ชนิดแรกและเป็นรายงานการค้นพบครั้งแรก (new record) ในภาคใต้ของประเทศไทย ซึ่งปกติแล้ว แมลงหางดีดในสกุลนี้ จะพบอยู่เหนือคอคอดกระของประเทศไทยขึ้นไปเท่านั้น โดยการศึกษาครั้งนี้พบที่ถ้ำดอนนนท์ จังหวัดชุมพร
- แมลงหางดีดหางหนามเหนือถ้ำ ชนิด Troglopedetes kae Jantarit, Surakhamhaeng & Deharveng, 2020 ตั้งชื่อแมลงหางดีดชนิดโดยให้เกียรติกับสถานที่ที่พบ คือ ถ้ำเข้ จังหวัดสตูล ซึ่งอยู่ในพื้นที่อุทยานธรณีโลก จังหวัดสตูล ลักษณะเด่นของแมลงหางดีดสกุลนี้ คือ ลำตัวเรียวยาว หนวดปล้องที่ 4 สามารถแบ่งได้เป็น 2 ปล้องย่อย บริเวณปลายหางตั้งตรง และมีหนามขึ้นเป็น 2 แถว จึงเป็นที่มาของชื่อ มีการแพร่กระจายส่วนใหญ่อยู่เหนือคอคอดกระขึ้นไปเท่านั้น
สกุล Troglopedetes 2 ชนิด
โดยแมลงหางดีดสกุล Troglopedetes ทั้ง 2 ชนิด ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร ZooKeys (987: 1-40 ปี 2020) ทำให้ปัจจุบัน มีแมลงหางดีดในสกุล Troglopedetes ทั่วโลก 33 ชนิด และประเทศไทยเป็นประเทศที่มีแมลงหางดีดสกุลนี้มากที่สุดในโลก จำนวน 14 ชนิด โดยทั้งหมดถูกค้นพบในถ้ำของประเทศไทย และเป็นกลุ่มที่มีความจำเพาะกับถ้ำ (endemic) ทั้งหมด แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของระบบนิเวศถ้ำของประเทศไทยในการรองรับความหลากหลายทางชีวภาพของสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะสิ่งมีชีวิตที่ยังไม่เป็นที่รู้จักในทางวิทยาศาสตร์ (Species new to science) ซึ่งการค้นพบแมลงหางดีดสิ่งชนิดใหม่ของโลกในครั้งนี้ ได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)
สำหรับแมลงหางดีด จัดเป็นแมลงโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในโลก โดยหลักฐานการค้นพบซากฟอสซิลในยุคดีโวเนียน (Devonian) ประมาณ 411.5 ล้านปีก่อน สามารถปรับตัวครอบครอบระบบนิเวศต่างๆได้ดี ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลขึ้นไปตามระบบนิเวศป่าบนบก ในดิน ผิวน้ำหรือแม้แต่บนเรือนยอดต้นไม้ และยังสามารถพบแมลงหางดีดได้ในบริเวณภูมิประเทศแบบสุดโต่งได้ด้วย เช่น ปากปล่องภูเขาไฟ ทะเลทราย ขั่วโลก ยอดเขาสูง (เช่นยอดเขาเอเวอเรสต์) หรือในถ้ำมืดและลึก เป็นต้น แมลงหางดีดเป็นแมลงขนาดเล็ก ประมาณ 0.2-10 มิลลิเมตร ไม่มีปีก โดยทั่วไปมีรูปร่าง 2 แบบ คือแบบยาวเรียว (elongated) และกลมรี (globular) ลักษณะที่ทำให้แมลงหางดีดแตกต่างจากแมลงทั่วไป คือ มีรยางค์หางส่วนท้ายที่ใช้ในการกระโดดหรือดีดตัว และมีติ่งที่ยื่นโผล่มาจากท้องปล้องแรก มีหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย และยังช่วยในการยึดเกาะ ซึ่งแม้เป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็ก แต่มีความสำคัญอย่างมากต่อระบบนิเวศ เพราะมีบทบาทในการย่อยสลายซากอินทรีย์สารต่าง ๆ ทั้งพืชและสัตว์ ทำให้เกิดการหมุนเวียนของธาตุอาหารต่าง ๆ และยังช่วยปรับโครงสร้างของดิน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่สำคัญในระบบห่วงโซ่และสายใยอาหาร เพราะแมลงหางดีดเป็นได้ทั้งผู้ล่า จึงสามารถควบคุมการแพร่กระจายของสัตว์/พืชอาหารขนาดเล็กต่าง ๆ เช่นโปรโตซัว หนอนตัวเล็ก โรติเฟอร์ แบคทีเรีย รา และสาหร่าย ในขณะเดียวกับก็เป็นเหยื่อแก่สัตว์อื่น ๆ ในระบบนิเวศ เช่น มด แมงมุม แมงป่องเทียม ด้วง เป็นต้น แมลงหางดีดยังมีความสามารถในการช่วยแพร่กระจายเชื้อรา ดังนั้นแมลงหางดีดที่อาศัยอยู่ในดินจึงช่วยให้เกิดการกระจายของเชื้อราซึ่งมีการอาศัยแบบปฏิสัมพันธ์กับพืช แมลงหางดีดยังสามารถใช้เป็นดัชนีวัดคุณภาพของดินและการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศรวมทั้งการปนเปื้อนของโลหะหนักและมลพิษในดินได้ด้วย อย่างไรก็ตาม แมลงหางดีดบางกลุ่มอาจทำลายพืชพันธุ์ทางการเกษตรและสร้างความเสียหายให้กับเห็ดในโรงเพาะเห็ดได้เช่นกัน
นอกจากนี้ ยังได้มีการค้นพบแมงกุ้งถ้ำชนิดใหม่ในสกุล Theosbaena เพิ่มเติมอีก 1 ชนิด โดยได้ศึกษาร่วมกับคุณเรืองฤทธิ์ พรหมดำ จากพิพิธภัณฑสถานธรรมชาติวิทยา ๕๐ พรรษา สยามบรมราชกุมารี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และ ดร. กรอร วงษ์กำแหง จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- แมงกุ้งถ้ำลอกอ ชนิด Theosbaena loko Jantarit, Promdam & Wongkamhaeng, 2020 ตั้งชื่อแมงกุ้งถ้ำชนิดนี้ให้เกียรติกับสถานที่ที่พบ คือ ถ้ำลอกอ จังหวัดพัทลุง ซึ่งเป็นสัตว์ที่หายาก และมีความจำเพาะกับระบบนิเวศถ้ำ ซึ่งทีมวิจัยได้ประเมินให้แมงกุ้งถ้ำลอกอ เป็นสัตว์ที่อยู่ในข่ายชนิดใกล้สูญพันธุ์ (Endangered species) ตามสถานะการอนุรักษ์ของ IUCN ลักษณะเด่นของแมงกุ้งถ้ำคือ มีลักษณะคล้ายกับตัวกุ้ง ลำตัวเรียวยาว ทรงกระบอก ตัวสีขาวใส ตาบอด ความยาวประมาณ 2-3 มิลลิเมตร ซึ่งทั่วโลกมีรายงานเพียง 2 ชนิดเท่านั้น โดยแมงกุ้งถ้ำชนิดใหม่นี้ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Biodiversity Data Journal (8(e59528): 1-14 ปี 2020) ทำให้ปัจจุบัน มีแมงกุ้งถ้ำในสกุล Theosbaena ทั่วโลกเพียง 3 ชนิด และพบได้ในถ้ำของประเทศไทยและประเทศกัมพูชาเท่านั้น
Theosbaena loko sp. n.